วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 เจสัน มแรซ (Jason Mraz)

เจสัน โทมัส มแรซ (Jason Thomas Mraz) เป็นศิลปินที่ผมชื่นชอบมากที่สุกคนหนึ่ง จะกล่าวว่าเป็นไอดอลผมเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเขา และผมก็เชื่อว่าเขาก็เป็นไอดอลของใครหลายคนด้วยนะครับ :)
เจสัน โทมัส มแรซ (Jason Thomas Mraz) เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1977 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง เกิดและโตที่เมคานิกส์วิลล์ เวอร์จิเนีย แนวเพลงของมแรซได้รับอิทธิพลจาก แนวป็อป ร็อก โฟล์ก แจ๊ส และฮิปฮอป เขาได้เล่นให้กับศิลปินไว้หลายคน เช่น เดฟ แมธธิวส์ แบนด์ ,เจมส์ บลันท์ ,เกวิน เดอกรอว์, พอลลา โคล์ ,เจมส์ มอร์ริสัน เป็นต้น
เขามีผลงานอัลบั้มแรก Waiting For My Rocket To Come ที่มียอดขายผ่านหลักแพลทินัม มีซิงเกิลแรก "The Remedy (I Won't Worry)" ต่อมาออกผลงานชุดที่สองชื่อ MR.A-Z เข้าชาร์ทอัลบั้ม Billboard 200 ที่อันดับ 5 อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขา Best Engineered Album, Non-Classical, ขณะที่โปรดิวเซอร์ที่ชื่อ สตีฟ ลิลลีไวต์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขา Producer of the Year
ผลงานอัลบั้มชุดที่ 3 We Sing. We Dance. We Steal Things. ออกวางขายเมื่อ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 มียอดขายระดับรางวัลแพลทินัม ซิงเกิลแรกเพลง I'm Yours สามารถติดท็อปเท็นในชาร์ทซิงเกิลบิลบอร์ด 100 ได้ สูงสุดที่อันดับ 6 และมียอดขายระดับ 3 รางวัลแพลทินัม อัลบั้มนี้ทำให้เจสันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี 3 รางวัล คือ Song Of The Year จากเพลง I’m Yours, Best Male Pop Vocal Performance จากเพลง I’m Yours และ Best Engineered Album,Non-Classical และเจสัน มแรซ ยังเป็นศิลปินคนแรกจากต่างประเทศที่ได้แสดงคอนเสิร์ต ในประเทศพม่า

ประวัติ

วัยเด็กและครอบครัว

เจสัน มแรซ เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง กับคุณพ่อ Tom Mraz คุณแม่ June Tomes และ มีพี่สาว 1 คน คือ Candace เมื่อเจสันอายุได้ 4 ขวบพ่อและแม่ก็แยกทางกัน และต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวของตน ทำให้เจสันมีน้องต่างพ่อและต่างแม่
เจสันเรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียน Lee-Davis High ขณะที่เรียนที่นี่เจสันอยู่ในคณะประสานเสียงและคณะละครเวทีของโรงเรียน รวมทั้งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ชายเพียงไม่กี่คนอีกด้วย ในช่วง 13 ปี พรสวรรค์ด้านการร้องเพลงของเจสันทำให้เขาได้อยู่ในวง R&B ท้องถิ่นชื่อ Dressed To Kill ซึ่งสมาชิกแต่ละคนล้วนอยู่ในวัย 20

ช่วงต้นอาชีพ

หลังจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เจสันเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาในสาขา Musical Theatre ที่ American Musical and Dramatic Academy, New York ที่นี่เองเจสันเริ่มหัดเล่นกีตาร์และค้นพบว่าการเล่นดนตรีและแต่งเพลงคือเป้าหมายต่อไปของตัวเอง เจสันจึงดรอปการเรียนและกลับสู่บ้านเกิดในเมคานิกส์วิลล์
ต้นสหัสวรรษใหม่เจสันก็จากบ้านเกิดอีกครั้งเพื่อตามหาฝันในฝั่งตะวันตก เขาขับรถจากเมคคานิกส์วิลล์ในฝั่งตะวันออกสุดสู่ San Diego สุดเขตด้านตะวันตกใต้ของอเมริกา ที่นี่เองเจสันได้เริ่มต้นอาชีพการเป็นนักร้องนักแต่งเพลง ด้วยการร้องเพลงในผับชื่อดังของเมืองคือ Java Joe’s ทุกวันพฤหัสบดี เจสันเปิดแสดงโชว์เล็กๆ จากคนดูเพียงไม่กี่คน จนกลายเป็นคนดูเต็มร้านในเวลาไม่กี่เดือน และที่นี่เองที่เจสันได้พบกับโทค่า (Noel “Toca” Rivera) นักร้องและนักเพอร์คัสชั่น ทั้งคู่ออกแสดงที่ Java Joe’s จนได้รับเชิญจากคลับใน Los Angeles และเมืองใกล้เคียงให้ไปเปิดแสดงโดยต่อเนื่อง ระหว่างนี้เจสันและโทค่าก็ได้ทำอัลบั้มเดโมในชื่อ Live At Java Joe’s ซึ่งมีเพลงอย่าง You And I Both, 1000 Things และเพลงได้รับการเปิดออกอากาศในสถานีวิทยุท้องถิ่นในซาน ดิเอโก้ การแสดงของเจสันและอัลบั้มเดโมที่น่าประทับใจ กลายเป็นความสำเร็จแบบปากต่อปาก จนได้ดึงดูดแมวมองจากElektra Records ให้มาชมการแสดง และเจสันได้เซ็นสัญญากับอีเล็กตร้าในปี 2002

อัลบั้ม Waiting For My Rocket To Come

อัลบั้มแรกของเจสัน ออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2002 ในอัลบั้มนี้เขาได้ร่วมงานกับ John Alagia ที่เคยโพรดิวซ์งานให้กับ Dave Matthews Band และ John Mayer โดยมี The Remedy (I Won’t Worry) เป็นซิงเกิลแรก เพลงพูดถึงการเอาชนะความเศร้าหมองด้วยการมองโลกในแง่ดี ซึ่งเจสันได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนวัยเด็ก Charlie Mingroni ที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งกระดูก เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 15 ใน Billboard Hot 100 Chart ส่วนอัลบั้ม Waiting For My Rocket To Come ก็ได้รับรางวัลแพลทินัมจากสมาคมแผ่นเสียงแห่งอเมริกา หรือ RIAA ในฐานะที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มมากกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา ความสำเร็จอย่างท่วมท้นแม้เพียงอัลบั้มแรก เป็นเพราะเพลงของเจสันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของดนตรีหลากหลาย ทั้ง โฟล์ก ป๊อป ร็อก และฮิปฮอป ซึ่งทักษะการร้องแบบกึ่งแร็ปและการแต่งเนื้อเพลงที่เป็นการเล่นคำได้อย่างแยบยล ทำให้เจสันเป็นความแปลกใหม่ของอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกันในช่วงนั้น อีกทั้งการแสดงสดของเขาก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนเพลงแบบปากต่อปาก เพื่อเป็นการสนองตอบเสียงเรียกร้องของแฟนเพลง Tonight Not Again : Jason Mraz Live At The Eagle Ballroom อัลบั้มบันทึกการแสดงสดจาก Eagle Ballroom ที่เมือง Cleveland รัฐ Ohio จึงได้ออกวางจำหน่ายในปี 2004

อัลบั้ม MR.A-Z

เดือนกรกฎาคม 2005 อัลบั้มที่ 2 ของเจสัน ก็ถูกวางจำหน่าย ภายใต้สังกัดใหม่คือ Atlantic Records โดยมี Wordplay เป็นซิงเกิลแรก และ Geek In The Pink เป็นซิงเกิลที่สอง ตัวอัลบั้มขึ้นถึงอันดับที่ 5 ใน Billboard 200 Album Chart ในสัปดาห์แรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จด้านยอดขายและยอดแอร์เพลย์เท่าที่ควร แต่กระนั้น MR.A-Z ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี ปี 2006 ในสาขา Best Engineered Album, Non-Classical

อัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things.

หลังจากอัลบั้มที่สอง เจสันใช้เวลาพักผ่อนเพื่อค้นพบความสงบภายในตัวเอง ทำให้เขาเริ่มศึกษาหลักพุทธศาสนาและเซน ระหว่างนี้เองเจสันได้แต่งเพลง และใช้เพลงใหม่นี้ตามโชว์เล็กๆในยุโรปและอเมริกา ก่อนวางจำหน่ายอัลบั้มที่สามในเดือนพฤษภาคม 2008 เจสันได้แยกเพลงต่างๆในสตูดิโออัลบั้มออกเป็น EP เพลงอคูสติก 3 ชุด คือ We Sing (จำหน่ายแบบจำกัดในเดือนมีนาคม) We Dance (จำหน่ายแบบจำกัดในเดือนเมษายน) และ We Steal Things (ออกวางจำหน่ายพร้อมกับสตูดิโออัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things.) อัลบั้มนี้เจสันได้พบกับ Martin Terefe โพรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับ Coldplay และ James Morrison อีกทั้งยังได้ James Morrison และ Colbie Caillait มาร่วมร้องในอัลบั้มนี้ด้วย
ในอัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things. นับว่าเป็นมิติใหม่ทางดนตรีสำหรับเจสัน เพราะมีการใช้เครื่องเป่าทองเหลืองเข้ามาเสริมความคึกคัก การนำเครื่องสายมาเพิ่มความละเมียดละไม และวงประสานเสียงให้ได้ความอลังการมากขึ้น ซิงเกิลแรกI’m Yours ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 จำหน่ายได้กว่า 3 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา และกว่า 5 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ส่วนตัวอัลบั้มได้รับรางวัลแพลทินัม จากยอดขายเกินกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 51 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ถึง 3 รางวัล คือ Song Of The Year จากเพลง I’m Yours, Best Male Pop Vocal Performance จากเพลง I’m Yours และ Best Engineered Album,Non-classical ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 เจสันเริ่มทัวร์ทั่วโลกที่กรุงโซลเกาหลีใต้ หลังจากงานประกาศรางวัลแกรมมี ทัวร์ครั้งนี้กินระยะเวลาตั้งแต่กุมภาพันธ์ จนกระทั่งกรกฎาคม ครอบคลุมทั้งเอเชีย, ยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกา

2014–ปัจจุบัน

สตูดิโออัลบั้มที่ห้าของเจสัน คือ Yes! ปล่อยเซิงเกิลเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2014  มันเป็นอัลบั้มอะคูสติกของเขาเป็นครั้งแรกและได้รับการบันทึกไว้อีกด้วย  เจสันเคยร่วมเขียน "A Beautiful Mess" ในปี 2008 ในอัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things. และอัลบั้ม Boyz II Men ในเพลง "It's So Hard to Say Goodbye to Yesterday"  และเพลง "every song on Yes!", "Raining Jane" โดยเจสันเป็นคนแต่งเพลง และอัลบั้มเดี่ยวในเพลง "Love Someone" ปล่อยเพลงนี้เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 วันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ได้ปล่อยเพลงในอัลบั้ม Yes! เป็นเซิงเกิลที่3 ชื่อ "Love Someone", "Hello You Beautiful Thing" และ "Long Drive" เป็นต้น
จสัน มแรซ ในปี ค.ศ. 2014




สำหรับบทความนี้คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอบคุณมากๆครับ :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น